ไหนใครว่าไม่เจ๋ง Call of Duty: Vanguard ด้วยบทสตอรี่ที่โดดเด่นจาก WW2 !

ออกมาให้เล่นกันสักพักแล้วสำหรับภาคล่าสุดของเกม FPS ชื่อก้องโลกอย่าง Call of Duty: Vanguard กับการกลับไปสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง ซึ่งแม้ผู้เล่นหลายคนอาจจะไม่ถูกใจแต่ภาคใหม่นี้ก็นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจในอีกมุมมองหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองได้ดีเช่นกัน จะเป็นยังไงนั้นไปชมกันเลย ในโหมด Campaign แม้จะเป็นเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้จะมีการเล่าเรื่องราวผ่าน 4 ตัวละครจากคนละพื้นที่ ที่จะมีการเล่าศึกสงครามที่เกี่ยวข้องกับทหารประเทศนั้นๆ ได้แก่ อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และ ออสเตรเลีย ซึ่งแต่ละคนก็จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันออกไป

ตัวละครหลักที่เราจะได้เล่นทั้ง 4 คน ได้แก่ Arthur Kingsley, Wade Jackson, Polina Petrova และ Lucas Riggs

Arthur Kingsley จะเป็นทหารอังกฤษที่ได้ลงไปร่วมรบที่ฝรั่งเศสในศึกนอร์มังดี ซึ่งเขาจะมีความสามารถในการเป็นผู้นำและสามารถใช้สกิลในการสั่งให้เพื่อนร่วมทีมยิงไปในทิศทางเดียวกันได้

Wade Jackson เป็นนักบินฝีมือดี แต่ภาคพื้นดินเขาก็มีความสามารถสุดโกงที่สามารถรับรู้ตำแหน่งของศัตรูใกล้ๆ ได้ และยังมีความสามารถในการตอบสนองอย่างรวดเร็วอีกด้วย (ประหนึ่งมี Aimbot ในตัว) โดยเราจะได้เล่นเขาสู้กับเหล่าทหารญี่ปุ่น

Polina Petrova ตัวละครหญิงจากรัสเซีย เธอเป็น Sniper มือฉมังในกองทัพ Red Army พร้อมกับฉายา Lady Nightingale ที่พร้อมจะล่าศัตรูทุกคนที่ขวางทาง โดยเธอมีความคล่องตัวสูง มีความสามารถในการปีนป่ายและเคลื่อนที่มุดไปมาได้อย่างรวดเร็ว

Lucas Riggs ทหารจากออสเตรเลีย ที่เข้าไปร่วมศึกลอบโจมตีนาซีที่ลิเบีย โดยเขานั้นมีความสามารถด้านระเบิด สามารถพกระเบิดได้หลายชนิดพร้อมกัน และยังมีความสามารถในการปาระเบิดอย่างแม่นยำอีกด้วย

หากพูดถึงเกมแนวสงครามที่ทำโหมดเนื้อเรื่องออกมาได้สนุก Call of Duty ก็เป็นหนึ่งในนั้น และภาค Vanguard ก็ยังทำออกมาได้ไม่น้อยหน้าภาคก่อนๆ เช่นเคย แม้จะไม่ได้มีลูกเล่นในการเข้าหาด่านพิเศษอย่างภาค Cold War ที่ผ่านมา แต่ตัวเกมก็นำเสนอเนื้อเรื่องที่หลากหลาย และเสนอแง่มุมของตัวละครทั้ง 4 ที่เราได้เล่นได้อย่างค่อนข้างลงตัว

แม้เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีจุดพีคเจ๋งๆ มากนัก เมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ แต่ในฉากแอคชั่นต่างๆ ก็ยังทำออกมาสนุกอยู่เช่นเคย รวมไปถึงฉากที่มีความสวยงามเป็นทุนเดิมก็ทำให้เราอินกับสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ได้ไม่ยาก โดยเนื้อหาในส่วน Campaign นี้ก็จะใช้เวลาเล่นอยู่ประมาณ 6-7 ชม. เป็นอย่างต่ำ ขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าเล่นเร็วขนาดไหน


Zombie โหมด

อีกหนึ่งโหมดการเล่นสุดมัน สำหรับใครที่อยากยิงคลายเครียด แม้ตัวเกมจะไม่ได้ท้าทายมากนักสำหรับผู้เล่นเกม FPS มือฉมัง แต่มันก็ตอบโจทย์ความมันในการบู๊กับเหล่าซอมบี้นาซีได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะใครที่เล่นยาวไปจนถึง Wave หลังๆ ต้องบอกเลยว่าซอมบี้เกิดมากันแทบไม่หยุดจริงๆ

ภาคนี้จะแบ่งชัดเรื่องโซนป้องกันรวมไปถึงโซนที่เราจะถูกวาร์ปเข้าไปทำภารกิจอย่างชัดเจน ทำให้มือใหม่ก็สามารถเข้าใจได้ง่าย การอัพเกรดปืนก็ไม่ยุ่งยากมากนัก แถมเรายังสามารถเกมเลเวลปืนภายในโหมดนี้ได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งโหมดสำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศในการเล่นแบบปกติ แต่ในแง่ความหลากหลายของศัตรูอาจจะไม่เยอะมากนัก ซึ่งเล่นไปสักพักก็อาจจะเบื่อได้ง่ายๆ เช่นกัน


Multiplayer ที่ยังรักษามาตราฐาน

หากใครที่ชอบเกมเพลย์ของภาค Modern Warfare คุณก็จะสนุกกับเกมเพลย์ของภาคนี้ได้ไม่ยาก เพราะรูปแบบเกมถอดมาเหมือนกันแค่อยู่ในรูปแบบคนละธีมเท่านั้น แม้ตัวเกมจะไม่ได้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดเหมือนช่วงยุคเปลี่ยนเจน แต่มันก็ยังรักษามาตราฐานความสนุกของเกมซีรีส์นี้ได้เป็นอย่างดี แถมตัวเกมยังมีด่านมากกว่า 20 ด่านเลยทีเดียว


ก็ถือได้ว่าเป็นภาคต่อของ Call of Duty ที่ทำออกมาได้อย่างลงตัวอีกเช่นเคย โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบในภาค Modern Warfare มาก่อน ก็ไม่ควรพลาดกับตัวเกมภาคนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะใครที่เล่น Warzone ก็จะได้ปืนของภาค Vanguard อัพเดตเข้าไปให้ได้เล่นกันอีกด้วย หากคุณเป็นแฟนซีรีส์อยู่แล้วภาคนี้ก็เป็นภาคที่ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน